ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ธรรมะเบื้องต้น ตอนที่ ๒ (หน้า ๑)


อาจารย์   ทุกอย่างนะค่ะ เป็นสิ่งซึ่งที่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะความจริงนั้นถูกปกปิดมาเป็นเวลาแสนนานมาตลอดสังสารวัฏฏ์ ต้องเป็นอย่างนี้ทั้งหมด แม้สิ่งใหม่เกิดดับ จนกว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ กว่าจะรู้ความจริง ตรัสรู้ความจริงเหมือนกันหมด
เพราะเหตุว่า ความจริงไม่เปลี่ยน ต้องเป็นอย่างนั้น แม้เกิดดับ เกิดอย่างนั้น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น สิ่งใหม่ที่เกิด ไม่ใช่สิ่งเก่าแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะซ้ำ แต่ไม่กลับมาเกิด แต่ว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น

ทวีศักดิ์   ท่านผู้พิพากษาจักรกฤตคงจะเคยได้ยินผู้ ที่เรียกว่า "ชาวพุทธ" นั่นนะครับ บางทีเขาก็ไปศึกษาธรรมะมา แล้วเขาก็จะมีคำพูด คำอะไรต่อมิอะไรนี่ครับ แล้วก็มีความรู้สึกว่า เขารู้ เขาเข้าใจ เอาจริง ๆ ก็เพียงแต่ว่าเขารู้คำมา เช่น ขณะนี้เรากำลังสนทนากันเรื่อง เกิดดับ ตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเรื่อง "คนละขณะ"  แต่คนเหล่านั้นก็พูดได้นะครับ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" ก็พูดได้ลักษณะนี้ แต่จริง ๆ แล้ว ไม่เข้าใจ ไม่ได้ละเอียดลึกซึ้งอย่างที่ท่านอาจารย์กำลังอธิบายให้ฟัง

ผู้พิพากษา   ครับ...ในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ชาวพุทธส่วนใหญ่นี่ ก็ศึกษาแบบผิวเผิน คือ ได้ฟังคำใดคำหนึ่งและไม่ได้พิจารณา อย่างเช่น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่เมื่อถามจริง ๆแล้ว อะไรมันเกิดขึ้น อะไรตั้งอยู่และอะไรดับไปนี่ ตรงนี้ก็เริ่มสงสัยแล้วว่า จะตอบยังไง แล้วสิ่งที่ตอบบางทีก็ไม่ถูกต้องนะครับ มีผิดเยอะ อย่างเช่น "เกิดขึ้น" อธิบายง่าย ๆ ว่า มีแก้วน้ำที่เกิดขึ้น แล้วตั้งอยู่ไม่กี่ปีนี่ แล้วแก้วก็แตกไป การทำแบบนี้เป็นการเอาความคิดของตนเองอธิบาย สิ่งเหล่านี้ซึ่งทำให้หลงผิดไปอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่า ตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวมาแล้วเมื่อครู่ เรื่อง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป นี่นั้น เป็นความจริงของธรรมะแต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ทีละขณะ อย่างรวดเร็วมาก จนไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่าตรงนั้นน่ะ ความเป็นจริงต้องเป็นอย่างนั้นครับ แต่นี่เมื่อชาวพุทธส่วนใหญ่ ได้ศึกษาแบบคร่าว ๆ แล้วก็อธิบายสิ่งเหล่านี้เนี่ยไปอีกแบบหนึ่ง ก็ทำให้ไม่เห็นว่า เขาจะเข้าใจความจริงของสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เรื่องพื้นฐานจริง ๆคือ เรื่องธรรมะ
ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีพื้นฐานเข้าใจความจริงของสิ่งนี้ ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายเรื่องอื่น ๆ ได้

ทวีศักดิ์   ท่านอาจารย์ครับ  อยากจะต่อตรงนี้ไป อีกนิดหน่อย เพราะว่า จะได้เป็นขบวนการเดียวกันเลยครับ คือ เรื่องของ "การเกิดดับ"  เรื่องของ "ขณะ"  หรือเรื่องของ "สภาวธรรม" ก็เป็นเรื่องที่อาจารย์กล่าวว่าเป็น "สภาพธรรม" ก็มี นามรูป ซึ่งนามก็เป็นสภาพเกิดดับ ที่หมายถึง จิต เจตสิก  
รูป ก็มีการเกิดดับ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แหละ ที่ท่านอาจารย์ จะได้ช่วยกรุณาชี้แนะด้วยครับ

อาจารย์   ค่ะ..ถ้าจะเข้าใจธรรมะจริง ๆ นะคะ ต้องไม่เผิน ต้องทีละ ๑ คำ  เมื่อกี้นี้นะคะ มีคำว่า "สภาวะ" ใช่มั้ยคะ ตอนแรกได้ยินคำว่า ธรรมะ แล้วเราก็ได้ยินจนชินหูว่า สภาวธรรม  สภาพธรรม แล้วเราก็พูดกันบ่อย ๆ นะคะ แต่ว่าเราต้องเข้าใจ "ธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริง แต่ละ ๑ ต้องมีภาวะ ความเป็นของสสิ่งนั้น เช่น  เสียง เป็น เสียง เป็นเห็นไม่ได้ กลิ่นเป็นกลิ่น เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้นะคะ สภาวะ จึงหมายความว่า ธรรมะแต่ละ ๑    สะ คือ ๑   ภาวะ คือ ความมี ความเป็น ธรรมะแต่ละ ๑ มีสภาพความเป็นอย่างนั้น ซึ่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมะแต่ละ ๑ มีสภาพความเป็นอย่างนั้น นี่หมายความว่า สภาวธรรม  ดอกไม้เป็นสภาวธรรมหรือเปล่าคะ ไม่ใช่ค่ะ

ทวีศักดิ์   เป็นรูปธรรม ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น